Sunday, April 29, 2012

On Mindful Speech and Deep Listening

http://www.plumvillage.org/

Aware of the suffering caused by unmindful speech,
I vow to cultivate right speech and deep listening in order to bring joy and happiness to others and relieve others of their suffering.

Knowing that words can create happiness or suffering. I am determined to say only things that inspire self-confidence, peace, joy and hope.

I am determined to speack the truth in a way that brings about understanding and harmony.

I vow not to say things that are untrue or that bring about division and batred.

I vow not to spread news that I do not know to be certain, nor to criticize or condemn things of which I am not sure.

I am determined to listen deeply with love and compassion in order to understand the suffering and difficulties of other and to bring them comfort.

I am determind not to say things that might bring about division or disharmony in my community of practice, or that can cause the community to break, or that can cause the community to break.

I am determined not to speak to anyone about the faults of any monk or nun outside my Sangha or of another pratice center, even though I may think that these faults are real.

From Stepping into Freedom
An Introduction to Buddhist Monastery Traning
Thich Nhat Nahn

Monday, April 23, 2012

Dhamma links


Sunday, April 22, 2012

หลวงตาพระมหาบัว ณาณสัมปันโน จาก "หนังสือ เข้าสู่แดนนิพพาน"


  • เมื่อปัญญามีกำลังพอที่จะพิจารณานี้ได้แล้ว ก็ย้อนเข้าไปดูจุดนี้ คือจุดแห่งความผ่องใส จุดแห่งความองอาจ จุดแห่งความสุขอันละเอียดของอวิชชาที่อาศัยอยู่นี้ จะต้องทลายตัวลงไปด้วยอำนาจของปัญญาที่ละเอียด เมื่อธรรมชาตินี้ได้สลายตัวลงไปด้วยอำนาจของปัญญาแล้วน้้น คำว่าเราก็ดี ส่ิงที่เราเคยสงวนก็ดี ส่ิงที่เราเคยรักเคยชอบก็ดี ส่ิงที่องอาจกล้าหาญอันเป็นจุดเดียวกันน้ันก็ดี จะหมดปัญหาไปทันที ไม่มีส่ิงใดเหลืออยู่ภายในน้ัน ถ้าหากจะเทียบอุปมาแล้ว จุดอันนี้เป็นเช่นเดียวกับบุคคลที่เข้าไปในห้องว่าง เมื่อเข้าไปสู่ห้องว่างแล้ว ผู้นั้นจะลืมตัวของตัวไปเสีย แต่จะไปชมว่าห้องนี้ว่างโล่งโถงเต็มที ไม่มีส่ิงใดอยู่ในห้องนี้เลย ห้องนี้ว่างอย่างเต็มที่โดยไม่ทราบว่าตัวคนเดียวน้ันแลไปทำการกีดขวางห้องอยู่ในขณะน้ัน ห้องจึงยังไม่ว่างเพราะยังเหลือคนๆหนึ่งไปทำการากีดขวางห้องน้ันอยู่ พอรู้สึกตัว อ้อ.... ห้องนี้ว่างจริง แต่ที่ห้องนี้ยังไม่ว่างเต็มที่ก็เนื่องจากเรามาอยู่ในห้องนี้คนหนึ่ง ถ้าเราถอนตัวออกไปเสียจากห้องนี้แล้ว ห้องนี้จะว่างอย่างเต็มที่ ข้อนี้อุปมาฉันใด ทุกส่ิงทุกอย่างว่างปล่อยวางกันได้หมด แต่ยังเหลือคำว่า "เรา" ซึ่งเป็นตัว "อวิชชา" อันแท้จริงอยู่กับใจ น้ันแหละ "อวิชชา" ล้วนๆ คือ "เรา" น้ันแหละกีดขวางตัวเองอยู่ในเวลาน้ัน ไม่ทราบว่า อวิชชาน้ันคืออะไร เราจึงเห็นส่ิงทั้งหลายว่าง หรือว่าเราวางส่ิงทั้งหลายได้หมดไม่มีส่ิงใดเหลือ แต่ธรรมชาติอันนั้นทำการกีดขวางตัวของเราอยู่ เราเลยไม่ว่าง พอปัญญาได้หย่ังเข้าไปสู่จุดนี้่แล้ว ธรรมชาตินี้ก็สลายตัวลงไป น้ันแลภายนอกก็ว่าง ภายในใจตัวเองก็ว่าง เช่นเดียวกับบุคคลถอนตัวออกมาจากห้อง แล้วห้องน้ันก็ว่างอย่างเต้มที่ จิตรู้ทุกส่ิงทุกอย่างรอบด้านหมดแล้่วด้วย มารู้รอบตัวเองปล่อยวางภายในตัวเองนี้ด้วย ชื่อว่าจิตนี้ว่างอย่างเต้็มที่ ไม่มีสมมุติอันใดแฝงอยู่ภายในน้ันเลย นี่ชื่อว่าจิตว่างจริง จิตปล่อยวางจริง ถ้าหากจิตยังไม่รู้ตัวเอง ยังไม่ถอดถอนตัวเองตราบใด ถึงจิตจะว่าสิ่งใดว่างหรือปล่อยวางส่ิงใดได้แล้วก็ตาม จิตก็ยังไม่ว่างในตัวเอง จิตยังไม่ปล่อยวางตัวเองอยู่น้ั่นแล เมื่อเป็นเช่นน้้น คำว่า อวิชชาก็คือ จิตผู้น้ันยังจะมีทางสืบต่อไปได้อีก เม่ื่อได้ทำลายพีชอันสำคัญ หรือตัวอวิชชาอันแท้จริงนี้ได้ด้วยปัญญาแล้ว น้ันแลชื่อว่าเป็นผู้ว่าง เป็นผู้วางอย่างเต้มภูมิ ไม่มีสมมุติอันใดเจือปน ความสงวนก็ไม่มี ความรักก็๋ไม่มี ความองอาจกล้าหาญก็ไม่มี ความที่จะขยาดหวาดกลัวเพื่ออะไรอีกก็ไม่มี เพราะส่ิงทั้งนี้เป็นสมมุติทั้งน้ัน เนื่องจากอวิชชาซึ่งเป็นรากแก้วใหญ่อันพาให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาได้สลายลงไปแล้ว เหลือแต่ธรรมชาติล้วนๆ นี่จุดสุดท้ายแห่งการปฎิบัติธรรมะ หากเราได้ปฎิบัติอย่างเอาจริงเอาจังตามที่อธิบายมาแล้ืวน้ัน จุดนี้หรือผลสุดท้ายทีอธิบายนี้จะไม่เป็นสมมัติของใคร แต่จะเป็นสมบัติของท่านผู้ปฎิบัติตามที่กล่าวมานี้ท้ังน้ัน หลวงตาพระมหาบัว ณาณสัมปันโน จาก "หนังสือ เข้าสู่แดนนิพพาน"

"มุตโตทัย" ธรรมะจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

คุณสันตินันท์ เขียนไว้เมื่อ วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 10:54:33

ผมเขียนเรื่องราวของพระมหาเถระในอดีตไปแล้วหลายองค์ นับแต่ท่านพระอานันทะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระอชิตะ คราวนี้จะขอเล่าเรื่องพระมหาเถระผู้เป็นครูบาอาจารย์พระป่ายุคนี้ คือท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ 

ท่านพระอาจารย์มั่น ถือกำเนิดในสกุล แก่นแก้ว เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2413 ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเคยบวชเณรตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่สึกเมื่ออายุ 17 ตามคำขอร้องของพ่อ แล้วกลับมาบวชอีกเมื่ออายุ 22 ปี ณ วัดศรีทอง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลฯ ท่านได้ศึกษาการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นจากท่านพระอาจารย์เสาร์ ณ วัดเลียบ จากนั้นก็ออกปฏิบัติธรรมจนได้รับการนับถือเป็นปรมาจารย์ของพระป่ายุคนี้ ท่านละสังขารที่วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2492

ธรรมคำสอนของท่านที่พวกเรารู้จักกันมากที่สุดคือ มุตโตทัย แต่มุตโตทัย เป็นเพียงบันทึกย่อคำสอนในช่วงปลายชีวิตของท่าน ซึ่งท่านอาจารย์วิริยังค์ บันทึกไว้เท่านั้น นอกจากนี้ก็มีคำบอกเล่าของศิษย์บางองค์ ว่าท่านสอนอะไรมาบ้าง แต่ที่จะหาคำสอนของท่านแท้ๆ นั้น หายากมากครับ กระทั่งคำถามคำตอบธรรมะ ที่เล่ากันว่า ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์(จูม) ถาม ท่านพระอาจารย์มั่น ตอบ นั้น เอาเข้าจริงอาจจะไม่ใช่คำสอนจริงของท่านพระอาจารย์มั่นก็ได้

ผมไปพบธรรมคำสอนที่ ท่านพระอาจารย์มั่น ประพันธ์ด้วยองค์ท่านเองเรื่องหนึ่ง เห็นสมควรนำมาบอกกล่าวให้พวกเราเข้าใจกันด้วยภาษาปัจจุบัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ 5 ดังนี้

" ....นมตฺถุ สุคตสฺส ปญฺจ ธมฺมขนฺธานิ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมซึ่งพระสุคตบรมศาสดาศากยมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า และพระนวโลกุตรธรรม 9 ประการ และพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น

บัดนี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวซึ่งธรรมขันธ์ โดยสังเขปตามสติปัญญาฯ

ยังมีท่านคนหนึ่งรักตัวคิดกลัวทุกข์ อยากได้สุขพ้นภัยเที่ยวผายผัน เขาว่าสุขมีที่ไหนก็อยากไป แต่เที่ยวหมั่นไปมาอยู่ช้านาน

นิสัยท่านนั้นรักตัวกลัวตายมาก อยากจะพ้นแท้ๆ เรื่องแก่ตาย

วันหนึ่งท่านรู้จริงซึ่งสมุทัยพวกสังขาร ท่านก็ปะถ้ำสนุกสุขไม่หาย เปรียบเหมือนดังกายนี้เอง ชะโงกดูถ้ำสนุกทุกข์คลาย

แสนสบายรู้ตัวเรื่องกลัวนั้นเบา ดำเนินไปเมินมาอยู่หน้าเขา จะกลับไปป่าวร้องพวกพ้องเล่า ก็กลัวเขาเหมาว่าเป็นบ้า

สู้อยู่ผู้เดียวหาเรื่องเครื่องสงบ เป็นอันจบเรื่องคิดไม่ติดต่อ ดีกว่าเที่ยงรุ่มร่ามทำสอพลอ เดี๋ยวถูกยอถูกติเป็นเรื่องเครื่องรำคาญ..."

ก่อนจะแสดงธรรม ท่านพระอาจารย์มั่นก็ไหว้ครูเสียก่อน ด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย และไม่ได้ถือว่า ธรรมที่จะบรรยายนี้เป็นธรรมของท่าน จากนั้นจึงเล่าถึงบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นภัยในสังสารวัฏ เที่ยวแสวงหาทางออกไปตามที่ต่างๆ ใครเขาว่าดีที่ไหน ก็ไปกับเขา แต่ไม่พบทางออกจากทุกข์ จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านเข้าใจเรื่องสังขารอันเป็นตัวทุกข์ และเข้าใจเหตุให้เกิดทุกข์

ด้วยการพิจารณากายของท่าน อันเป็นโพลง เป็นถ้ำที่อาศัยของจิต จิตของท่านก็เลย "แสนสบาย รู้ตัว" แต่ท่านก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ เพราะไม่กล้าประกาศธรรมที่เข้าใจมา จนกระทั่งวันหนึ่ง ......

ยังมีบุรุษคนหนึ่ง คิดกลัวตายน้ำใจฝ่อ มาหาแล้วพูดตรงๆ น่าสงสาร ถามว่าท่านพากเพียรมาก็ช้านาน เห็นธรรมที่จริงแล้วหรือยังที่ใจหวัง

เมื่อพญามังกรผู้ซ่อนกายถูกถามเช่นนั้นก็เกิดความเอะใจว่า คนๆ นี้ สนใจในสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจ ท่านจึงเกิดความเมตตา ให้คำแนะนำถึงการปฏิบัติ ดังนี้

เอ๊ะ! ทำไมจึงรู้ใจฉัน บุรุษนั้นก็อยากอยู่อาศัย ท่านว่าดีดี ฉันอนุโมทนา จะพาดูเขาใหญ่ถ้ำสนุกทุกข์ไม่มี

คือ กายคตาสติภาวนา ชมเล่นให้เย็นใจหายเดือดร้อน หนทางจรอริยวงศ์ จะไปหรือไม่ไปฉันไม่เกณฑ์ ไม่หลอกเล่นบอกความให้ตามจริง

เรื่องกายคตาสตินี้ ผมได้ยกทั้งกายคตาสติสูตร และเรื่องราวการบรรลุพระอรหันต์ของท่านพระอานนท์มายืนยันแล้ว ว่าเป็นทางแห่งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ หากใครยังเชื่อตำรารุ่นหลังที่ว่า กายคตาสติเป็นเพียงวิธีการทำสมถะ ผมก็ไม่เกณฑ์ให้เชื่อเหมือนกันครับ เพราะ "ทาง" นั้นบอกกันได้ ส่วนจะเดินหรือไม่เดิน เป็นเรื่องของท่านผู้นั้นโดยตรง

เชิญฟังธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นต่อไปครับ

แล้วกล่าวปริศนา ท้าให้ตอบ

ปริศนานั้นว่าระวิ่งคืออะไร? ตอบว่าวิ่งเร็วคือวิญญาณอาการใจ เดินเป็นแถวตามแนวกัน สัญญาตรงไม่สงสัย ใจอยู่ในวิ่งไปมา สัญญาเหนี่ยวภายนอกหลอกลวงจิต ทำให้จิตวุ่นวายเที่ยวส่ายหา หลอกเป็นธรรมต่างๆ อย่างมายา

เห็นพวกเรากำลังชอบทายปริศนาธรรม ปราชญ์ในอดีตท่านก็ชอบทายปริศนาเหมือนกัน อย่างเรื่องนี้ ท่านอาจารย์มั่นก็ตั้งปัญหาว่า อะไรที่วิ่งเร็ว แล้วท่านก็ตอบว่า วิญญาณซึ่งเป็นอาการของใจ เป็นตัวที่วิ่งเร็ว

การจะทำความเข้าใจธรรมของพระป่านั้น ขั้นแรกสุดคือต้องเชิญตำราขึ้นหิ้งก่อน ถ้าเอาตำรามากล่าวก็จะเกิดปัญหา แต่ถ้าเอาของจริงในใจของแต่ละคนมาตีแผ่กัน ธรรมชนิดนี้ เป็นธรรมที่ถึงจิตถึงใจจริงๆ

เวลาที่พวกเราดูจิตกันนั้น เคยสังเกตเห็นสภาวะอันหนึ่งไหมครับ มันเป็นสภาวะที่ยื่นออกไปจับอารมณ์ทางตา ทางหู เป็นต้น คล้ายๆ กับใจมันยื่นงวงออกไปจับอารมณ์ ทางนั้นที ทางนี้ที พอจับลงที่อารมณ์ปั๊บ จิตก็เกิดขึ้นทางตา ทางหู และเสวยอารมณ์นั้น

ความหยั่งรู้อารมณ์ หรือเครื่องมือพาจิตเกิดทางอายตนะ 6 นี้แหละครับ คือสภาวะของวิญญาณที่ท่านอาจารย์มั่นกล่าวในที่นี้ หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดน่าฟังออกไปอีกว่า "วิญญาณเป็นพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะพาจิตไปไหนๆ ก็ได้" เช่นเราต้องการรู้ว่า บนดวงจันทร์มีเทวดาหรือผีอยู่บ้างไหม ก็หยั่งความรับรู้ หรือวิญญาณออกจากใจ เข้าไปที่ดวงจันทร์ จิตก็จะรู้ได้ว่า ที่นั้นมีเทวดาหรือไม่ เป็นต้น

จิต มโน(ใจ) วิญญาณ ในทางตำรานั้นหมายถึงสิ่งเดียวกัน แต่นักปฏิบัติเราแยกแยะสิ่งเหล่านี้ออกไปได้อีก ที่ตำราท่านไม่แยกไว้มาก ผมเข้าใจว่า ท่านไม่อยากให้คนอ่านต้องฟุ้งซ่านมากด้วยความคิดนั่นเอง

วิญญาณหรือความหยั่งรู้อารมณ์นี้ มันผุดขึ้นและส่งออกไปจากใจ ท่านจึงเรียกว่ามันเป็นอาการของใจ ไม่ใช่ใจหรือจิต เช่นเดียวกับเวทนา สัญญา และสังขารนั่นเอง ที่เป็นอาการของใจ

ลำพังวิญญาณคือความหยั่งรู้อารมณ์ทางตา ทางหู นั้น ยังไม่มีผลให้จิตเป็นทุกข์ แต่เพราะ สัญญา คือความจำได้หมายรู้ต่างหาก ที่เข้ามาล่อลวงให้จิตหลง ผมขอยกตัวอย่างการพิจารณาธรรมเกี่ยวกับสัญญามาเล่าให้พวกเราฟังสักหน่อย เพื่อจะได้เห็นภาพว่า สัญญา หลอกลวงจิตได้อย่างไร

เมื่อตอนที่ผมออกไปปฏิบัติธรรมที่หนองคายเมื่อต้นเดือนนี้ วันหนึ่งเดินจงกรม เหมือนเช่นที่เดินทุกวันนั่นเอง เริ่มเดินก็รู้การกระทบของเท้า ขวาพุท ซ้ายโธ ไปเรื่อยๆ พอจิตขยับตัวนิดหนึ่ง จิตก็มารู้ตัวทั่วพร้อม ก็เดินทำความรู้ตัวไปเรื่อยๆ ไม่ได้เจตนาจะพิจารณาธรรมใดๆ ทั้งสิ้น

เดินๆ อยู่สัญญาก็ผุดขึ้น นึกถึงญาติโยมที่มาบวชชีพราหมณ์ พอความจำได้ผุดปั๊บ สติปัญญาซึ่งเป็นสังขารฝ่ายกุศลก็ตามทันทันที คือจิตมันรู้ว่า ถ้ารู้ไม่ทันความปรุงแต่ง ก็จะนำทุกข์มาให้ ปัญญาก็ตัดสัญญานั้นดับลง ไม่ปรุงแต่งให้มากเรื่องต่อไป เดินไปอีกก้าวหนึ่ง ภาพคนนั้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ผุดขึ้นอีก สติปัญญารู้ทันแล้วสัญญาก็ดับลงตรงนั้นอีก พอหูได้ยินเสียงลมพัด สัญญาก็จำได้ว่าเสียงลม แล้วสัญญาก็ดับลงตรงนั้น

สัญญาที่ผุดเปลี่ยนเรื่องไปทุกก้าวย่างนั้น เกิดดับอยู่เพียงนั้น จิตไม่มีน้ำหนักอะไร เพราะไม่ได้ปรุงแต่งสังขารขึ้นมา ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ได้แต่มีสติ ระสึกรู้ทันสัญญา แล้วก็วางลงเพียงนั้น ถึงจุดหนึ่งจิตก็ตัดกระแสความปรุงแต่ง เข้าไปอยู่กับธรรมชาติรู้ที่เบิกบาน ไม่มีอะไรจะให้ปฏิบัติมากกว่านั้น เพียงจิตรู้อริยสัจจ์ 4 แล้วตัดความปรุงแต่งขาดไป จิตก็พ้นจากทุกข์แล้ว

แต่ละวันที่ปฏิบัติธรรมนั้น จิตพิจารณาธรรมบ้าง ไม่พิจารณาบ้าง ถ้าไม่พิจารณาก็รู้ตัวทั่วพร้อมไป ถ้าพิจารณาจิตก็ดำเนินไปเอง อย่างเมื่อสองสามวันนี้ นอนหลับไปตอน 4 ทุ่ม แล้วไปตื่นตอนตี 1 ก็ลุกขึ้นเดินจงกรมตามกิจวัตร ทีแรกจิตมีความง่วงแทรก ก็เดินแบบสมถะ ขวาพุท ซ้ายโธ พอจิตมีกำลังก็ขยับมารู้ตัวทั่วพร้อม กายเบาจิตเบา แล้วก็ระลึกถึง glory ซึ่งตอนกลางวันสนใจมาถามเรื่องสุตตสมาบัติ ก็เลยวางจิตลงตรงมโนวิญญาณ ระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ ก็เห็นมโนวิญญาณที่ห่อหุ้มธรรมชาติแท้จริงอยู่ แล้วจิตก็พิจารณาว่า มโนวิญญาณนี้เกิดจากอะไร เอาสติหยั่งแตะอยู่ที่มโนวิญญาณนั้นสบายๆ สติปัญญาก็สาวย้อนจนพบว่า มโนวิญญาณนั้นเกิดมาจากอภิสังขาร 3 นั่นเอง พอเอาสติหยั่งลงที่อภิสังขาร ก็รู้ว่า เพราะความไม่รู้อริยสัจจ์ 4 เมื่อสัญญาผุดขึ้น หรือเมื่อมีเวทนาแล้วสัญญาในเวทนาผุดขึ้น สังขารก็ปรุงแต่งทันที แล้วมโนวิญญาณก็เกิดขึ้นแผ่ออกครอบคลุมธรรมชาติแท้ในจิตไว้

ตัวมายาจอมหลอกลวง ไม่มีอะไรจะเสมอด้วยสัญญา เมื่อมันมาเจอเข้ากับจิตอวิชชาคราวใด มันจะพาให้เกิดความปรุงแต่งคราวนั้น แล้วมโนวิญญาณก็เกิดขึ้น หยั่งลง ก่อรูปนาม ก่ออายตนะภพชาติไปตามลำดับ กระทั่งเจตนาที่จะรู้จิตรู้อารมณ์ ก็ยังเป็นอภิสังขารฝ่ายดีบ้าง ฝ่ายตั้งมั่นบ้าง แล้วเป็นปัจจัยให้มโนวิญญาณเกิดขึ้น เช่นเจตนาที่จะรู้ตัว มันก็ทำให้ความรู้ตัวชัดเจนขึ้นมานิดหนึ่ง แปลกแยกจากธรรมชาติหน่อยหนึ่ง ไม่ใช่ความรู้ตัวที่เป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างแท้จริง

จะข้ามภพข้ามชาติให้ได้ ก็ต้องทำลายวิญญาณให้ได้ จะดับวิญญาณได้ ก็ต้องละอภิสังขารซึ่งรวมถึงเจตนาให้ได้ จะละอภิสังขาร ก็ต้องมีสติปัญญารู้ทันตอนที่สัญญาผุดขึ้นให้ได้

ลงท้ายแล้วก็สรุปได้ว่า ความไม่รู้มีอยู่ตราบใด ความปรุงแต่งไปตามการหลอกลวงของสัญญาก็มีอยู่ตราบนั้น

พูดเรื่องวิญญาณอาการใจ และสัญญาจอมหลอกลวงเสียนาน ขอเชิญอ่านธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นต่อไปครับ

ถามว่าห้าขันธ์ใครพ้นจนทั้งปวง แก้ว่าใจสิพ้นอยู่คนเดียว ไม่เกาะเกี่ยวพัวพันติดสิ้นพิศวง หมดที่หลงอยู่เดียวดวง สัญญาทะลวงไม่ได้หมายหลงตามไป

ความว่า ใจที่สัญญาหลอกลวงไม่ได้นั้น ย่อมพ้นความหลง หมดอุปาทานขันธ์

ถามว่าที่ตายใครเขาตายที่ไหนกัน แก้ว่าสังขารเขาตายทำลายผล

ตรงนี้ท่านสอนว่า ที่ว่าตายนั้น ไม่มีคนตาย มีแต่สังขารที่เกิดแล้วก็ดับไป

ถามว่าสิ่งใดก่อให้ต่อวน แก้ว่ากลสัญญาพาให้เวียน เชื่อสัญญาจึงผิดคิดยินดี ออกจากภพนี้ไปภพนั้นเที่ยวหันเหียน เลยลืมจิตจำปิดสนิทเนียน ถึงจะเพียรหาธรรมก็ไม่เห็น

เมื่อกล่าวถึงสัญญาคราวใด ผมจะนึกถึงบรรพชนไทย ที่ท่านแปลคำว่าสัญญาว่า ความจำได้หมายรู้ สัญญาในแง่ความจำที่ผุดขึ้นนั้น ผมได้กล่าวไปแล้ว ว่าเป็นการจำรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ และการจำอดีตต่างๆ ได้ เรียกว่าอดีตสัญญา

ส่วนสัญญาในความหมายของความ หมายรู้นั้น หมายถึงมุมมองของจิต เมื่อจิตไปรับรู้อารมณ์เข้า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับธรรมของพระอริยเจ้า จะมีสัญญาวิปลาส คือมองสิ่งต่างๆ ในมุมของความเที่ยง ความทนอยู่ได้ และความเป็นตัวตน ส่วนผู้ได้สดับ ก็จะพลิกมุมมองไปใช้ อนิจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญา

สัญญาความจำได้ กับสัญญาความหมายรู้ผิดๆ ล้วนเป็นตัวพาก่อเกิดความปรุงแต่ง ก่อภพก่อชาติไม่สิ้นสุด เพราะไปหลงนิยมยินดีกับสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง กับสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ว่าเป็นตัวตนของตน

หลวงปู่มั่นท่านตบท้ายว่า จิตที่หลงสัญญานั้น มีแต่เที่ยวร่อนเร่ไป ไม่มีทางเห็นจิตซึ่งถูกปิดบังด้วยความเขลา และเมื่อไม่เห็นจิต ก็ไม่มีทางเห็นธรรม เพราะธรรมเกิดที่จิต ทั้งอกุศล กุศล และธรรมที่เป็นกลาง เมื่อจิตถูกปิดบังไปแล้ว ธรรมก็ถูกปิดบังไปด้วย

ธรรมที่ท่านพระอาจารย์มั่นประพันธ์ไว้เรื่องนี้ ยังมีอีกยาวครับ ถ้าจะเขียนรวดเดียวให้พวกเราอ่าน ก็จะหนักเกินไป คิดว่าทะยอยเขียน ทะยอยอ่านจะสบายกว่า ดังนั้น จึงขอโพสต์แต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ แล้วจะค่อยเขียนเพิ่มภายหลัง ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านตั้งปริศนาธรรมต่อไปว่า ใครเป็นผู้กำหนด ใครเป็นผู้หมายธรรม คำตอบก็คือ ใจนั่นแหละเป็นผู้กำหนด และหมายรู้ธรรมทั้งปวง ไม่มีคน สัตว์ บุคคล ที่ไหนมาเป็นผู้กำหนดและหมายรู้ธรรม และเมื่อจิตกำหนดรู้ธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว สัญญาจะทำงานต่อไป จนจิตหลงไปในเรื่องดี-ชั่ว รัก-ชัง อันเป็นเรื่องของความปรุงแต่งทั้งสิ้น

ถามต่อว่า อะไรคือการกินหนเดียว แล้วไม่ต้องกินอีก ตอบว่าความสิ้นไปแห่งตัณหา หรือสิ้นความอยาก ทำให้จิตไม่ต้องเที่ยวเสพย์อารมณ์อะไรต่อไปอีก

คำถามคำตอบต่อไปนี้ อยากให้พวกเราอ่านคำประพันธ์ของท่าน เพราะมีนัยที่น่าฟังบางอย่าง

ถามว่าสระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยน้ำ แก้ว่าธรรมสิ้นอยากจากสงสัย ใสสะอาดหมดราคีไม่มีภัย สัญญาในนั้นพรากสังขารขันธ์นั้นไม่ถอน ใจจึงเปี่ยมเต็มที่ไม่มีพร่อง เงียบสงัดดวงจิตไม่คิดตรอง เป็นของควรชมชื่นทุกคืนวัน แม้ได้สมบัติทิพย์สักสิบแสน หาแม้นเหมือนรู้จริงทิ้งสังขาร หมดความอยากเป็นยิ่งสิ่งสำคัญ จำส่วนจำกั้นอยู่ไม่ก้ำเกิน ใจไม่เพลินทั้งสิ้นหายดิ้นรน

สิ่งที่เต็มบริบูรณ์ไม่เคยพร่อง คือ ธรรม ที่สิ้นอยาก หรือ ใจ ที่พ้นจากอำนาจของตัณหา ในขั้นนี้ ธรรมกับใจก็คืออันเดียวกัน ในขณะที่ จิตที่ตกอยู่ใต้อำนาจของตัณหา จะพร่องอยู่เป็นนิจ ประเภท ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม มีแต่ความดิ้นรนทะยานอยาก

ใครอยากรู้ว่า จิตของท่านที่พ้นจากตัณหาแล้วเป็นอย่างไร สามารถอนุมานเอาได้จากกลอนข้างบนนี้ คือสัญญาแยกพรากจากสังขารอย่างมั่นคงถาวร หมายถึงเมื่อสัญญาเกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะสัญญาส่งลูกต่อให้สังขารปรุงไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา สติปัญญาจะเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ ตัดความปรุงแต่งขาดสะบั้นลงเพียงนั้น ใจก็เต็มบริบูรณ์อยู่อย่างนั้น เข้าถึงความเงียบสงัด ตรงนี้ได้ยินครูบาอาจารย์ท่านบอกเสมอ ว่าใจในขั้นนี้ เงียบสนิทจริงๆ ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่งมารบกวน เพราะสัญญามันดับไป ไม่ส่งลูกต่อให้สังขารปรุง

ท่านว่า ใจ ดวงวิเศษนี้ มีค่ากว่าสมบัติทิพย์ทั้งปวง กระทั่งเทวโลกและพรหมโลก หมดความดิ้นรนโดยสิ้นเชิง

ธรรมที่ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งถึงแก่นเข้าไปตามลำดับ เป็นประโยชน์อย่างมาก ที่เราจะเรียนรู้ไว้บ้าง ผมเองตอนนี้ ก็ได้ธรรมส่วนนี้เป็นแผนที่เดินทางเล่มสำคัญ

ท่านเขียนไว้ดังนี้

เหมือนอย่างว่ากระจกส่องหน้า ส่องแล้วอย่าคิดติดสัญญา เพราะว่าสัญญานั้นดังเงา อย่าได้เมาไปตามเรื่องเครื่องสังขาร ใจขยันจับใจที่ไม่ปน ไหวส่วนตนรู้แน่เพราะแปรไป ใจไม่เที่ยวของใจใช่ต้องว่า รู้ขันธ์ห้าต่างชนิดเมื่อจิตไหว แต่ก่อนนั้นหลงสัญญาว่าเป็นใจ สำคัญว่าในว่านอกจึงหลอกลวง คราวนี้ใจเป็นใหญ่ไม่หมายพึ่ง สัญญาหนึ่งสัญญาใดมิได้ห่วง เกิดก็ตามดับก็ตามสิ่งทั้งปวง ไม่ต้องหวงไม่ต้องกันหมู่สัญญา เหมือนยืนบนยอดเขาสูงแท้แลเห็นดิน และเห็นสิ้นทุกตัวสัตว์แต่ว่าสูงยิ่งนัก แลเห็นเรื่องของตนแต่ต้นมา เป็นมรรคาทั้งนั้นเช่นบันได

ผมอ่านธรรมบทนี้ด้วยความเร้าใจอย่างยิ่ง คือท่านเปรียบสัญญานี้เหมือนเงา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แต่หลอกให้คนหลงได้ว่ามีตัวตน ถ้าเข้าใจสัญญาว่าเป็นดังเงาที่ไม่มีแก่นสารสาระ จิตก็จะไม่มัวเมาไปกับสังขารหรือความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ เพราะสังขารนั้น มีสัญญาเป็นปัจจัยส่งต่อให้เกิดขึ้น

ผู้ปฏิบัติที่สามารถจำแนกสัญญากับใจออกจากกันแล้ว ท่านให้ขยันจับใจ ที่ไม่ปนด้วยสัญญา ใจจะหยุด นิ่ง สงัด สิ่งใดแปลกปลอมออกจากใจก็รู้ชัด และสิ่งที่แปลกปลอม หรือเป็นอาการของใจ หรือเป็นความไหวออกไปจากใจ ก็คือขันธ์ 5 นั่นเอง ท่านย้ำอีกว่า แต่ก่อน เคยหลงสัญญาว่าเป็นใจ จึงเกิดความสำคัญมั่นหมายในสิ่งภายในภายนอกขึ้น ต่อเมื่อ ใจ ถึง ใจ แล้ว ใจก็เป็นใหญ่ในตัวของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาสัญญา สิ่งต่างๆ ก็เกิดดับไปตามธรรมชาติของมันเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ ใจ กระทั่งการปฏิบัติที่ผ่านมาแล้ว ก็เหมือนบันไดเท่านั้น เมื่อขึ้นถึงจุดสุดท้ายคือ ใจ ก็ไม่มีอะไรจะต้องดำเนินต่อไปอีก

พวกเราหลายคนรบเร้าขอให้ผมเล่าการปฏิบัติที่วัดป่าเขาน้อยให้ฟัง พอดีเห็นว่า สอดคล้องกับธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นในช่วงนี้ จึงถือโอกาสเล่าเสียในคราวเดียวเลย

ช่วงที่ผมพาพวกเราสิบกว่าคน ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าเขาน้อยนั้น ในเวลากลางวัน ผมต้องยุ่งเกี่ยวกับคนจำนวนมากหลายสิบคน การปฏิบัติก็ทำได้เพียงการเจริญสติ ไม่หลง เท่านั้น แต่ในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาส่วนตัว ผมจะเดินจงกรมในช่วงหัวค่ำจนถึง 4 ทุ่ม หลังจากนั้นจะนอนพักให้เต็มอิ่ม จะไปตื่นเอาประมาณตีสอง ขึ้นมาเดินจงกรม สลับกับนั่งสมาธิ จนใกล้สว่างจึงจะหลับสั้นๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วเริ่มกิจกรรมของวันใหม่ต่อไป

การเดินจงกรมนั้น เบื้องแรกจะรู้การก้าวเท้า ขวา ซ้าย ไปในแบบที่ธรรมดาที่สุด พอจิตมีกำลัง จิตจะยกตัวขึ้นมาดูจิต เห็นจิตผู้รู้กับอารมณ์ที่ถูกรู้เกิดดับไป

รูปก็แยกไปส่วนหนึ่งคือกายที่เดินไปมา กับรูปภายนอกคือ ภาพต้นไม้ในแสงสลัวของเดือนดาว เสียงที่มากระทบหู ความหนาวที่มากระทบกาย

เห็นสุขเวทนาอันเกิดแต่วิเวกของกลางคืน เห็นราคะที่แทรกอยู่กับสุขเวทนา แล้วเห็น มโนสัญญเจตนา คือความจงใจที่จะหมายรู้จิต เมื่อเห็นถึงตรงนี้ จิตก็สลัดความจงใจออก จิตก็หยุดอยู่กับความรู้ตัว สงบ สว่าง เบิกบาน และนุ่มนวล

ถึงตรงนี้ผมก็จะเห็นสัญญา คือ ความหมายรู้ เป็นคนละส่วนกับ ใจ ความหมายรู้ ยังเป็นอาการ ออกไปจาก ใจ ไม่ใช่ ใจ เหลือเพียงการมนสิการถึง ใจ อันอัศจรรย์เหลือเกิน แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจทางดำเนินต่อไปอย่างแจ่มชัดว่า มีแต่การ ใจขยันจับใจที่ไม่ปน ดังที่ท่านพระอาจารย์มั่นกล่าวไว้นั่นเอง

แต่เดิมนั้น เราสร้างจิตผู้รู้ เรามีจิตผู้รู้ บัดนี้เห็นชัดแล้วว่า จิตผู้รู้ ยังเป็นส่วนประกอบของ ขันธ์ กับ ใจ เป็นเครื่องมือให้เราเดินปัญญาพิจารณาเข้าสู่ ใจ การปฏิบัติทั้งปวง มีการทำความสงบและการจำแนกรูปนามขันธ์ห้า ล้วนเป็นบันได เป็นมรรคา เพื่อเข้าถึง ใจ ดวงวิเศษนี้เอง คือใจ ดวงที่แยกเอาความหมายรู้อารมณ์หรือสัญญาออกไปได้ ไม่หลงเอาสัญญาหรือความหมายรู้ ว่าเป็นใจ และการจำแนกสัญญา ออกจาก ใจ ก็คือการทำลายจิตผู้รู้นั่นเอง

เมื่อเข้าถึง ใจ ก็จะเห็นจริงว่า สิ่งที่เกิดออกไป หรืออาการของใจทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากทุกข์ ตรงนี้ไม่ใช่โวหาร แต่เป็นการเห็นขันธ์ทั้งปวง เป็นทุกข์ล้วนๆ และทุกข์นั้นก็เป็นความจริงของมันเองอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับ ใจ ที่เป็นความจริงอีกอันหนึ่ง

เรื่องของ ใจ ที่พ้นจากขันธ์นั้น ผมจะได้นำมาเล่าต่อไป เพราะท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็ได้ประพันธ์ไว้พอเป็นแนวทางอยู่เหมือนกัน แต่การจะเรียบเรียงคำประพันธ์ของท่านออกมาให้ฟังง่ายนั้น ยากที่สุด เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดล้ำลึก ชนิดทำลายโลกอย่างแท้จริง ผมเองก็ไม่กล้าเขียนรวดเดียวจบเหมือนเรื่องอื่นๆ เพราะมีแง่มุมการปฏิบัติที่ลึกล้ำเหลือประมาณ ส่วนพวกเราก็อ่านเอาไว้ เพื่อใช้เป็นแนวลูบคลำในอนาคต ตอนนี้อ่านไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร อย่าพยายามเค้นเพื่อทำความเข้าใจนะครับ จะเกิดความเสียหายอย่างมากกับการปฏิบัติในช่วงนี้

ท่านพระอาจารย์มั่น ตั้งคำถามและตอบต่อไป เกี่ยวกับเรื่องของสังขาร ว่ากรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งสังขารทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว และจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ความจริงของสังขาร จึงจะเกิดความเบื่อหน่าย แล้วสามารถปล่อยวางสังขารได้โดยไม่ต้องบังคับใจ หากไม่รู้ตามความเป็นจริง ย่อมไม่เบื่อหน่าย หากไม่เบื่อหน่าย ย่อมไม่สามารถปล่อยวางสังขารได้ด้วยปัญญา

ท่านกล่าวถึงขันธ์ 5 ว่าต่างก็มีหน้าที่ของตนเอง รูป ก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย นาม ก็เกิดดับต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน พอมีเรื่องดีก็เพลิดเพลินเจริญใจ พอกระทบเรื่องไม่ดี ไม่ชอบใจ ก็วุ่นวายคิดไม่หยุด จิตก็เศร้าหมองไปตามอำนาจของความพอใจและความไม่พอใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่จิตคิดนึกปรุงแต่งเอาเองเท่านั้น

บทกลอนตอนนี้ของท่านว่าไว้อย่างน่าฟังว่า

เช่นไม่อยากให้จิตเที่ยวคิดรู้ อยากให้อยู่เป็นหนึ่งหวังพึ่งเฉย จิตเป็นของผันแปรไม่แน่เลย สัญญาเคยอยู่ได้บ้างเป็นครั้งคราว

พวกเรานักปฏิบัติจะมาติดอยู่ตรงนี้กันมาก คืออยากให้จิตดี ให้จิตสงบเป็นหนึ่ง พ้นทุกข์พ้นร้อนหยาบๆ โดยไม่ยอมรับความจริงว่า จิตเองก็ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อเจริญได้ ก็เสื่อมได้ เป็นธรรมดา

ไม่ต้องยกตัวอย่างคนอื่นหรอก แม้แต่ผมเองก็เกิดความหลงผิดเป็นครั้งคราวเหมือนกัน บางวัน จิตใจเบิกบาน เหมือนจะหยิบเอานิพพานต่อหน้าต่อตาในขณะนั้นนั่นเอง แต่บางวัน จิตใจโง่งม กระทั่งการปฏิบัติก็แทบไม่รู้จัก งงๆ ว่า เอ การปฏิบัตินี่จะต้องทำยังไงบ้างนะ เรียกว่ามันเสื่อมหมดทั้งสมาธิและปัญญา กระทั่งสัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติก็ไม่เหลืออยู่ ต่อเมื่อจิตเกิดความรู้ทันว่า อ้อ จิตแสดงธรรมเรื่องความเป็นไตรลักษณ์ของจิตนี่เอง นั่นแหละ จิตจึงเกิดมีกำลังในการปฏิบัติต่อไปได้อีก

สิ่งอื่นนั้นเป็นการง่ายที่จะเห็นเป็นไตรลักษณ์แล้วปล่อยวางความยึดมั่นเสีย แต่จิตนี้แหละ ที่ถูกยึดว่าเป็นเราอย่างเหนี่ยวแน่นที่สุด ตราบใดที่ยังไม่ถึงพระอรหันต์ ตราบนั้นความยึดจิตก็ยังมีอยู่เสมอๆ จำเป็นต้องเรียนรู้ความจริง จนเห็นธรรมชาติแท้ของขันธ์ 5 ซึ่งรวมถึงจิตด้วย จึงจะเข้ากับบทกลอนของท่านพระอาจารย์มั่นที่ว่า

ถ้ารู้เท่าธรรมดาทั้งห้าขันธ์ ใจนั้นก็ขาวสะอาดหมดมลทินสิ้นเรื่องราว ถ้ารู้ได้อย่างนี้จึงดียิ่ง เพราะเห็นจริงถอนหลุดสุดวิถี ไม่ฝ่าฝืนธรรมดาตามเป็นจริง จะจนจะมีตามเรื่องเครื่องนอกใน ดีหรือชั่วต้องดับเลื่อนลับไป ยึดสิ่งใดไม่ได้ตามใจหมาย ใจไม่เที่ยวของใจไวหวะวับ สังเกตจับรู้ได้สบายยิ่ง

ตรงนี้ท่านสอนว่า ถ้ารู้จริงเรื่องขันธ์ 5 แล้ว ใจก็ไม่ท่องเที่ยวร่อนเร่ไปอีก การจะสังเกต รู้ ก็เป็นเรื่องง่ายสบายยิ่งไปในทันที แต่หากไม่รู้จริงในเรื่องขันธ์ 5 ก็จะเกิดสภาวะต่อไปนี้

เล็กบังใหญ่ไม่รู้ทัน ขันธ์บังธรรมมิดผิดที่นี้ มัวดูธรรมขันธ์ไม่เห็นเป็นธุลีไป ส่วนธรรมมีใหญ่กว่าขันธ์นั้นไม่แล

สิ่งที่ปิดบังธรรมไว้จนมิดชิด ทำให้เรามองไม่เห็น ก็คือขันธ์นั่นเอง คือเรารู้ได้แต่ขันธ์ วุ่นวายกับการปฏิบัติในเรื่องปรุงแต่งขันธ์ เช่นพยายามให้จิตสงบหายวุ่นวาย สงบแล้วก็พยายามจะให้สงบตลอดไป สิ่งเหล่านี้แหละ ที่ปิดบังธรรมเอาไว้อย่างมิดชิดทีเดียว

คราวนี้มาถึงคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุด เข้าใจยากที่สุด แต่ผู้ปฏิบัติที่เข้าใจธรรมต่อไปนี้อย่างถ่องแท้ ก็หมดเรื่องที่จะต้องศึกษาต่อไปอีกในทางพระพุทธศาสนา ขอเชิญอ่านไปอย่างใจเย็นๆ นะครับ

ถามว่า มี - ไม่มี ไม่มี - มี นี้คืออะไร

แล้วท่านก็ตอบว่า ที่ว่าเกิดมีต่างๆ ทั้งเหตุ - ผล แล้วดับ ไม่มี ชัดใช่สัตว์คน นี่ข้อต้น มี - ไม่มี อย่างนี้ตรง

สรุปแล้ว มี - ไม่มี ก็คือสังขารธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง อันเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามเหตุปัจจัย แต่ไม่มีอัตตาตัวตน

ข้อปลาย ไม่มี - มี นี้เป็นธรรม ที่ลึกล้ำใครพบจบประสงค์ ไม่มีสังสาร มีธรรมที่มั่นคง นั่นและองค์ธรรมเอกวิเวกจริง ธรรมเป็นหนึ่ง ไม่แปรผันเลิศพบสงบนิ่ง เป็นอารมณ์ของใจไม่ไหวติง ระงับยิ่งเงียบสงัดชัดกับใจ

สรุปแล้ว ไม่มี - มี คือวิสังขารธรรม คือได้แก่ ธรรม ที่ไม่มีสังขาร หรือนิพพานนั่นเอง นิพพานเป็นธรรมอันเอก เป็นอารมณ์ของใจ (ขอให้สังเกตว่า ท่านไม่ได้ใช้คำว่าอารมณ์ของจิต) คือเป็นอารมณ์ของธรรมชาติรู้ ที่พ้นจากความปรุงแต่งของสังขารทั้งปวง นิพพานนั้น ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เป็นความสงบสงัดและระงับอย่างยิ่งจากสังขารทั้งปวง

เมื่อเข้าถึงธรรมวิเศษนี้แล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือ

ใจก็สร่างจากเมาหายเร่าร้อน ความอยากถอนได้หมดปลดสงสัย เรื่องพัวพันขันธ์ห้าซาสิ้นไป เครื่องหมุนในไตรจักรก็หักลง

ตรงนี้คงไม่ต้องอธิบาย เว้นแต่คำว่าไตรจักร ท่านหมายถึงภพทั้งสามที่สัตว์ต้องเวียนตายเวียนเกิดไม่สิ้นสุด ได้แก่กามภพ รูปภพ และอรูปภพ นั่นเอง

จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นก็สรุปว่า ถ้าจิตทรงธรรม ก็เป็นเครื่องกีดกันสมุทัยไม่ให้เกิดขึ้น ทุกข์กับธรรม เป็นของประจำจิตใจ ถ้าจิตทรงธรรม รู้ชัดในทุกข์ ก็เป็นอันตัดสมุทัยได้ ขันธ์ก็เป็นทุกข์ไปตามธรรมชาติของขันธ์ ส่วนใจที่ทรงธรรม ก็ปราศจากทุกข์ ต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างทำหน้าที่ของตนไป ท่านกล่าวในตอนท้ายว่า ความผิดบาปทั้งหลายนั้น เกิดได้เพราะความไม่รู้ ถ้าจิตรู้จริงเสียแล้ว ก็พ้นจากความผิดบาปเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง

บทกลอนของท่านพระอาจารย์มั่น ก็จบลงเพียงเท่านี้ ธรรมอันนี้ หาฟังหาอ่านตามตำราไม่ได้ แต่เป็นธรรมที่แจ่มแจ้งขึ้นกับจิตใจของท่าน แล้วท่านก็นำมาแจกแจงแสดงต่อสานุศิษย์ทั้งปวง

คำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น จะผิดถูกชั่วดีประการใด ก็สุดแต่วินิจฉัยของแต่ละท่านก็แล้วกัน

--- จบ --- วัน จันทร์ ที่ 10 มกราคม 2543 14:16:26 อ้างอิง: 
http://www.dhammada.net/coffee/index.php/topic,8.0.html

ไม่พัก ไม่เพียร


มีพระสูตร

ที่ตรัสกล่าวถึง การไม่พัก ไม่เพียร ข้ามโอฆสงสาร 


โอฆตรณสูตรที่ ๑

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว
เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

[๒] เทวดานั้น ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลคำนี้
กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ข้าพระองค์ขอทูลถาม พระองค์
ข้ามโอฆะได้อย่างไร ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว ฯ
ท. ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ก็พระองค์ไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆะได้
อย่างไรเล่า ฯ
พ. ท่านผู้มีอายุ เมื่อใด เรายังพักอยู่ เมื่อนั้น เรายังจมอยู่โดยแท้
เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ เมื่อนั้น เรายังลอยอยู่โดยแท้
ท่านผู้มีอายุ เราไม่พัก เราไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ

เทวดานั้นกล่าวคาถานี้ว่า
นานหนอ ข้าพเจ้าจึงจะเห็นขีณาสวพราหมณ์ผู้ดับรอบแล้ว
ไม่พัก ไม่เพียรอยู่ ข้ามตัณหาเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวในโลก ฯ

[๓] เทวดานั้นกล่าวคำนี้แล้ว พระศาสดาทรงอนุโมทนา ครั้งนั้นแล
เทวดานั้นดำริว่า พระศาสดาทรงอนุโมทนาคำของเรา จึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณแล้วก็หายไป ณ ที่นั้นแล ฯ
......................................................................................................................
เกี่ยวกับเรื่อง การมุ่งมั่นที่จะรู้ธรรมจนมากเกินไป(วิริยะมากเกินไป)

เป็น บทวิสัชชนาธรรม

โดย หลวงปู่ ชา สุภัทโท


ปุจฉา ได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ไม่ได้ผลคืบหน้า

วิสัชชนา เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้น หรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านจากการหลุดพ้น

ท่านจะเพียรพยายามอย่างหนักตามใจท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความอยาก ที่จะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะไม่มีทางที่จะพบความสงบได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัย และ ความกระวนกระวายใจ

ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัติมานานเท่าใดหรือหนักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้)จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น

ดังนั้น จงเพียงแต่ละความอยากเสีย

จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติ แต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง 

วิปัสสนาญาณ ๑๖ (โสฬสญาณ)

www.baandhammatan.com

ญาณที่ ๑
นามรูปปริจเฉทญาณ คือญาณเกิดขึ้นประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรมที่แยกขาดจากกัน ทีละอารมณ์โลกปรากฏสภาพที่สูญเปล่าจากตัวตนไม่มี อัตตสัญญาที่กายทรงจำสภาพธรรม มีสภาพธรรมปรากฏลักษณะที่เป็นอนัตตา สันตติขาดเห็นรูปนามเบื้องแรกจะมีอาการตกใจ ผู้ปฏิบัติจะอุทาน ว่า อ้อ นี่หรือ รูปนาม ที่เราพยายามหาทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ใช่อื่นไกลเส้นผมบังภูเขานี่เอง เช่นนี้ก็ตัดสินใจได้ว่าสัตว์บุคคลเทวดาพรหมอื่นนอกจากรูปนาม ไปไม่มี ทั้ง ๓๑ ภูมิ มีแต่รูปกับนามเท่านั้น มีอยู่ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นญาณนี้เรียกว่า “ทิฏฐิวิสุทธิ นั่นเอง คือ ความเห็นอันบริสุทธ์ว่ามีแต่รูปนามเท่านั้น และเป็น วิปัสสนาญาณขั้นต้นนำทางไปสู่ วิปัสสนาญาณขั้นต่อๆ ไป


ญาณที่ ๒
ปัจจยปริคคหญาณ คือ ญาณที่รู้ชัดถึงความต่างกันของรูปนาม ขณะที่ วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นและขณะที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณเกิด หรือเรียกว่าญาณแจก ปัจจัยแห่งรูปนามที่กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูป ดุจนายแพทย์ค้นหาสมุฏฐานของโรค เมื่อแสวงหาเหตุก็จะเห็นว่า รูปนามเกิดจากธรรม ๕ อย่างคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานกรรม และอาหาร เป็นเหตุให้เกิดรูปปัจจัยโดยมีอาหารเป็นปัจจัยอุปถัมภ์รูป ต่อนั้นไป ก็จะเห็นเหตุปัจจัยของนามมีจักขุวิญญาณ ฯลฯ เป็นต้น จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเพราะ จักขุปสาทะกับรูปารมณ์แสงสว่าง มนสิการ เมื่อประชุมพร้อมกันทั้ง ๔ อย่างจึงเกิดขึ้นได้ แม้โสตวิญญาณชิวหาวิญญาณ ฯลฯ ก็ทำนองเดียวกัน เมื่อเห็นอย่างนี้ก็จะละ คลายความสงสัยทั้งปวงเสียได้ ญาณนี้เรียกว่า กังขา วิตรณวิสุทธิ คือมีความรู้ ความเห็นอันบริสุทธิ์ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้


ญาณที่ ๓
สัมมสนญาณ คือ ปัญญาญาณที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วของ นามธรรมและ รูปธรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แยกออกเป็น ๔ นัย คือ
(๑) กลาปสัมมสนนัย เห็นชัดถึงรูปอดีต ปัจจุบัน อนาคต รูปภายใน-นอก รูปหยาบ -ละเอียด รูปใกล้-ไกล รูปเลว-ประณีต ทั้งหมดเป็นอนิจจังสิ้นไปถ่ายเดียวไม่มีกลับ
(๒) อัทธานสัมมสนนัย เห็นรูปนามในอดีตไม่เป็นปัจจุบัน รูปนามปัจจุบันไม่เป็นอนาคต รูปภายในไม่เป็นรูปภายนอก ฯลฯ เป็นต้น มีเหตุปัจจัยกันอยู่ ปัจจุบันดี อนาคตดี ปัจจุบันชั่ว อนาคตชั่ว อุปมาเหมือนดวงตราเมื่อประทับลงในกระดาษนั้นรูปตราปรากฏอยู่ แต่ดวง ตราหาติดกระดาษไม่
(๓) สันตติสัมมสนนัย พิจารณาเห็นรูปร้อนหายไปรูปเย็นเกิด รูปเย็น-ดับรูปร้อนเกิด รูปนามไม่เที่ยงเป็นอนัตตา
(๔) ขณสัมมสนนัย เห็นความเกิดดับกันอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่งนอน และเห็นว่า ขันธ์ ๕ เกิด เพราะ อวิชชาเกิด ขันธ์ ๕ ดับ เพราะอวิชชาดับ
เมื่อพระโยคีหรือผู้ปฏิบัติเจริญวิปัสสนาญาณเห็นความเกิดดับของรูปนามดังกล่าวมานี้ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ได้แก่ โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิสุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา และนิกันติ ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ถ้ามีสติติดต่อกันจริงๆ แล้ว วิปัสสนูปกิเลส อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ตั้งแต่ญาณ ๑ถึงญาณ ๓ นี้เรียกว่า “ญาตปริญญา” คือ ปัญญาที่ ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏโดยสภาพไม่ใช่ตัวตน เป็นพื้นฐาน ให้น้อมพิจารณา ลักษณะของรูปนามอื่นเพิ่มขึ้น


ญาณที่ ๔
อุทยัพพยญาณ คือ ญาณที่เกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละประเภทอย่างชัดเจนยิ่ง รูปนามที่เกิดสันตติขาดเป็นห้วงๆ ประหนึ่งคนแกว่งธูป เมื่อแกว่งเร็วก็เกิดดับติดๆกันไป เราเห็นควันธูปเป็นไม่ดับ แต่ที่แท้ควันธูปดับอยู่เสมอ เรียกญาณนี้ว่า “ตีรณปริญญาญาณ” คือ ปัญญาที่พิจารณาลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏเสมอกันทั้ง ๖ ทวาร ไม่เจาะจงฝักใฝ่ มุ่งหวังเฉพาะรูปนามใดรูปนามหนึ่ง ความสมบูรณ์ของปัญญารู้ชัดเสมอกัน
อนึ่ง ญาณนี้เมื่อสมาธิมากขึ้น นึกอยากจะเห็นอะไรก็เห็นหมด จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ย่อมจะเป็นนิมิตมาให้เห็นได้ทั้งนั้น ฉะนั้นต้องระวังให้มากอย่าอยากเห็นเป็นอันขาด เพราะจะทำให้วิปัสสนารั่วและจะเสียปัจจุบันธรรม ทางนั้นเป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนา


ญาณที่ ๕
ภังคญาณ คือ ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความไม่มีสาระของการเกิดขึ้นและดับไปของ สภาพธรรมที่ปรากฏเป็น “ปหานปริญญา” คือ ปัญญาที่รอบรู้เพิ่มขึ้นละคลายความยินดีใน นามรูป เห็นโทษของนามรูปเพิ่มขึ้น ละวิปลาสเสียได้ คือ ละความเห็นว่าเที่ยง ว่าสุข ว่า เป็นตัวตน ว่าสวย ว่างาม


ญาณที่ ๖
ภยญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัวดุจราชสีห์


ญาณที่ ๗
อาทีนวญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นรูปนามมีแต่โทษไม่มีคุณดุจเรือนไฟที่ติด ทั่วแล้วฉะนั้น


ญาณที่ ๘
นิพพิทาญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายละคลายความเห็นที่เห็นชอบที่ เคยมาแล้ว


ญาณที่ ๙
มุญจิตุกัมยตาญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณาให้จิตใคร่จะพ้นไปจากรูปนาม ดุจมัจฉาอยาก จะพ้นข่าย ไม่อยากมีรูปนาม


ญาณที่ ๑๐
ปฏิสังขาญาณ คือ ปัญญาที่พิจารณารูปนามซ้ำเพื่อทำอุบายให้พ้นจากรูปนามนั้นเสีย


ญาณที่ ๑๑
สังขารุเปกขาญาณ คือ ปัญญาที่รู้ชัดในความวางเฉยในรูปนามรู้ว่ารูปนามเป็นวิบาก ไม่เป็นของที่จะละได้ จะต้องเป็นอยู่อย่างนี้เป็นธรรมที่ให้ต้องกำหนดรู้ เรียกว่า “ปริญเญยกิจ”


ญาณที่ ๑๒
สัจจานุโลมิกญาณ คือ ญาณปัญญาที่มีกำลังพอที่จะเห็นอริยสัจเรียกว่า “ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ” คือ มีความรู้อันบริสุทธิ์ดำเนินไปโดยลำดับ


ญาณที่ ๑๓
โคตรภูญาณ คือ ญาณที่ตัดกระแสเชื้อของปุถุชนหน่วงนิพพานเป็นอารมณ์ ทำลายโคตรปุถุชน หยั่งลงสู่อริยโคตร


ญาณที่ ๑๔
มัคคญาณ คือ ญาณปหานกิเลสเป็นสมุจเฉท เป็นพระอริยบุคคล


ญาณที่ ๑๕
ผลญาณ คือ ญาณเสวยวิมุตติสุขอันเป็นวิบากของมรรค


ญาณที่ ๑๖
ปัจจเวกขณญาณ คือ ญาณพิจารณารู้กิเลสที่เหลือและหมดไปในผลปริโยสาณ จิตหยั่งลงสู่ภวังค์ พิจารณากิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ ว่ากิเลสเหล่านี้เรา ละแล้ว อวสานพิจารณา ถึงอมตะนิพพานว่า ธรรมที่เราแทงตลอดแล้ว

แนวทางเจริญสติโดยหลวงพ่อพุธ

ต่อไปนี้ขอเชิญทุกท่านกำหนดจิตทำสมาธิในท่านั่ง ในกายของเรานี้มีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นหัวหน้า มีจิตเป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้วแต่จิต ในขณะนี้กายกับจิตของท่านยังมีความสัมพันธ์ คือรับรู้กันอยู่ เมื่อท่านกำหนดรู้ที่จิต ท่านก็ยังรู้ว่ากายยังมี เมื่อกายยังมีอยู่ จิตของท่านก็รู้เรื่องของกายโดยไม่ได้ตั้งใจ เวลานี้ท่านนั่งอยู่ กายสบายมั๊ย ท่านก็รู้ มีอะไรมา สัมผัสกายท่านมั๊ย ท่านก็รู้ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นที่กาย ท่านก็รู้ เพราะกายกับจิตของท่านยังอยู่ด้วยกัน ยังไม่แยกจากกัน 
ถ้าหากว่าจิตของท่านกำหนดรู้ความสุข และความทุกข์ หรือ ความเฉยๆ ที่เกิดที่กาย สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เกิดขึ้นเมื่อกายยังปรากฏอยู่กับความรู้สึก 

เมื่อท่านกำหนดรู้กายอยู่สติก็ตั้งอยู่ที่กาย ระลึกรู้อยู่ที่กาย โดยเพียงแค่นึกรู้สึกว่ากายมีอยู่ แล้วเมื่อท่านไม่ได้นึกเช่นนั้น ท่านก็ยังรู้ว่ากายมีอยู่ เมื่อจิตของท่านรู้สึกว่ากายมีอยู่ เวทนาสุขทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นที่กาย เมื่อท่านมีสติรู้อยู่ ท่านก็รู้ว่าเวทนามี สุข ทุกข์เรียกว่าเวทนา สุขเรียกว่าสุขเวทนา 

เมื่อสติของท่านกำหนดรู้เวทนา สติไปตั้งอยู่ที่นั่นก็เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ความรู้ ความคิด คิดว่านี่กาย นี่เวทนา นี่สุขเวทนา นี่ทุกขเวทนา นี่อุเบกขาเวทนา ความคิดหรือรู้เป็นอาการของจิต เมื่อสติมากำหนดรู้พร้อมอยู่กับความคิดเช่นนั้น ถ้าสติตั้งมั่น หรือสติตามรู้ รู้ความคิดอันนั้นเรียกว่าจิตตานุปัสสนา ถ้าสติตั้งมั่นอยู่กับความคิดนั้น เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน 

เมื่อหากว่าสุขเวทนาเกิดขึ้น ทุกขเวทนาเกิดขึ้น จิตปรุงแต่ง ธรรมชาติของคนเรามีความรู้สึกชอบ ความสบาย ถ้าหากจิตของท่านใฝ่หาความสบายโดยไม่อยากทำอะไร ไม่ปฏิบัติ บางทีอาจไปคิดว่าเลิกปฏิบัติซะดีกว่า อยู่เฉยๆ สบายดี แสดงว่าจิตของท่านใคร่ต่อความสบาย ติดความสบาย เมื่อจิตติดความสุข ความสบาย จิตก็มีความใคร่ในกาม กามก็คือความสบายใคร่ในความสุข คือไม่อยากทำอะไร เรียกว่ากามฉันทะ ความใคร่พอใจในความสบาย เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตปรุงแต่งว่าจะปฏิบัติต่อไปดีหรือจะหยุดเพียงแค่นี้ 

ความคิดเช่นนี้เป็นลักษณะของพยาบาท คือเป็นความคิดที่จะตัดรอนคุณความดี เกิดความคิดกังวลสงสัยว่า จะเอาดีหรือไม่เอาดี ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญบังเกิดขึ้นเรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ เมื่อมีความฟุ้งซ่านรำคาญบังเกิดขึ้น ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้นมาแทรก จิตก็ปรุงแต่งขึ้นมาว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี หรือจะหยุดกันเพียงแค่นี้ เป็นวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลใจ ไม่แน่ใจ เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดลงไปไม่เอาล่ะ เลิกดีกว่า พยาปาทะวิ่งเข้ามาตัดรอน 

เมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่นิวรณ์ 5 คือ กามฉันทะ ความใคร่ในความสุขสบาย พยาปาทะ ความคิดริดรอนหรือตัดรอน อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอน วิจิกิจฉา ความสงสัยไม่เอาจริง ถ้าจิตมากำหนดดูอยู่ที่ตรงนี้ อันนี้เป็นธรรมฝ่ายอกุศล เป็นนิวารณะธรรม เป็นธรรมที่คอยกางกั้นคุณงามความดีไม่ให้บังเกิดขึ้นจึงเรียกว่า นิวรณ์ หรือ นิวารณะ แปลว่าจิตปิดกั้น กั้นสมาธิไม่ให้เกิด กั้นปัญญาไม่ให้เกิด กั้นกุศลไม่ให้เกิด เพราะอันนี้เป็นธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อจิตมากำหนดรู้ธรรมที่เป็นกุศล อกุศล เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน 

ถ้าสติมากำหนดตั้งมั่นพิจารณาอยู่ที่ธรรม ก็เรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมะเป็นฐานที่ตั้งของสติ จิตรู้ว่ากายมีอยู่ และมีสติตั้งมั่นอยู่ที่กาย อย่างน้อยก็ตั้งมั่นอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย เพราะปอดเป็นผู้มีหน้าที่ ทำหน้าที่ หายใจเข้า หายใจออก เมื่อสติไปตั้งอยู่ที่ลมหายใจ ก็ได้ชื่อว่าสติไปตั้งอยู่ที่กาย จัดเป็นอานาปาณุสติด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐานด้วย ในมหาสติปัฏฐานบรรพัท ท่านจำแนกแจกวิธีการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมไว้อย่างกว้างขวางพิศดาร แต่อันนั้นเป็นภาคปฏิบัติ 

ท่านเริ่มต้นแต่ให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก โดยความเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดบ้าง โดยความเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้าง เพื่อจะให้จิตหรือสติไปตั้งอยู่ที่กาย จะได้เกิดความรู้ว่ากายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ท่านให้เริ่มพิจารณาตั้งแต่กายภายนอก คือกายของคนอื่น หรือพิจารณาซากอสุ หมายถึง ซากอสุภะ แล้วก็น้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตนเอง เช่นอย่างไปเห็นซากศพที่นอนตายอยู่ ท่านให้พิจารณาซากศพว่าเมื่อก่อนนี้ซากศพก็มีชีวิตจิตใจเดินเหินไปมาได้เหมือนเรา บัดนี้เขาปราศจากวิญญาณแล้ว เขามีแต่จะเน่าเปื่อยผุพัง แล้วก็น้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตนเองว่า แม้เราก็เช่นกัน เวลานี้ เรามีกาย มีจิต มีวิญญาณ เราก็ยังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ทำอะไรได้จิปาถะ เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ร่างกายก็มีแต่จะเน่าเปื่อยผุพังทับถมแผ่นดินเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก เมื่อสลายตัวไปก็จะเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ 

หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ร่างกายภายนอกกับกายภายในเป็นเช่นไร กายภายนอกเป็นเช่นไร กายภายใน ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ทีนี้การพิจารณากายภายนอก สักแต่ว่ากาย แต่ว่ามันเป็นกายของคนอื่น อันนั้นเรียกว่าเห็นกายภายนอก แต่เมื่อมาพิจารณากายของตนเอง ให้เห็นว่ากายของเราก็จักเป็นเช่นนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แม้ปัจจุบันนี้จะยังสดสวยงดงามพอดูกันได้ แต่เมื่อกายสลายตัวลงไปแล้วก็จะเน่าเปื่อยผุพัง เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก แล้วเราจะได้รู้ได้เห็นว่ากายของเรานี้สักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา กายเป็นแต่เพียงกาย กายเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ กายนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัว ตน เรา เขา แต่ที่สมมติว่าบุคคล ตัวตนเราเขาและสัตว์นั้นเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ ตามภาษารูป แต่เมื่อความเป็นจริงแล้ว สมมติบัญญัติอันนี้เป็นกาย ก็สักแต่ว่ากายเท่านั้น ในเมื่อเรามาพิจารณาเห็นกายภายในคือกายของเราเป็นเช่นนั้น เรียกว่า พิจารณากายในกาย ถ้าสติไปตั้งมั่นอยู่ในการพิจารณากาย โดยยึดเอากายเป็นอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ที่ตรงนั้น จนกระทั่งว่าในขณะที่พิจารณาในสมาธิก็เป็นเช่นนั้น 

ออกจากสมาธิไปแล้ว สติก็กำหนดตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด ซึ่งเป็นเรื่องของกาย ก็เรียกว่า สติไปตั้งอยู่ที่กาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าสติเพียงแค่ว่าควบคุมบังคับให้ระลึกไปในกาย คือระลึกถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันนี้เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติ เป็นสติปัญญาธรรมดา แต่ถ้าหากว่าจิตมีสติกำหนดรู้เรื่องของกายอยู่ตลอดเวลาโดยอัติโนมัติ จะตั้งใจก็กำหนดรู้ ไม่ตั้งใจก็กำหนดรู้ กำหนดรู้อยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิตทุกลมหายใจ สติไม่พรากจากกาย ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด สติก็รู้พร้อมอยู่ที่กายตลอดเวลา อันนี้เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เอาสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวก็เป็นมหาสติปัฏฐาน 

ในเมื่อสติมาตั้งมั่นอยู่ที่กาย ระลึกรู้ รู้อยู่ที่กายตลอดเวลา เรื่องเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราไม่ได้ตั้งใจจะกำหนดรู้ ไม่ได้ตั้งใจจะพิจารณา จิตของเราก็รู้เอง เพราะจิตมีกาย กายเป็นที่เกิดแห่งเวทนา เมื่อจิตมาจดจ่อเอาใจใส่ต่อกาย อะไรเกิดขึ้นที่กาย จิตของเรารู้หมดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตมาตั้งมั่นอยู่ที่กาย เอากายเป็นอารมณ์สติตั้งมั่นอยู่ที่กาย แม้แต่ความคิดที่เกิดขึ้นก็เพราะอาศัยกายนั่นแหละเป็นเครื่องมือ เมื่อมีกายอยู่จิตย่อมมีความคิด ความคิดที่เกิดขึ้นนั้น แม้เราไม่ได้ตั้งใจจะกำหนดรู้ จิตของเราก็จะรู้เพราะการคิดเป็นเรื่องของจิต 

ในเมื่อสติของเราไปตั้งมั่นอยู่กับความคิดที่คิดอยู่ในปัจจุบัน คิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไรขึ้นมาก็รู้แต่ความคิดนั้น คิดแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดมั่นอะไรไว้สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน สติกำหนดตั้งมั่นอยู่ที่ความคิดนั้น เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทีนี้ความคิดที่ปรุงแต่งนั้นอาศัยเวทนาเป็นสิ่งหนุน สุขเวทนา เป็นเหตุให้จิตมีความเพลิดเพลินยินดี ทุกขเวทนาเป็นเหตุให้จิตเกิดความไม่พอใจ หรือบางทีอาจจะเกิดคับแคบใจ ในเมื่อกิเลสที่เป็นตัวการ คือการเสพความสุขความสบายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในขณะนั้น 

ทีนี้พอนั่งๆ ไป ปฏิบัติไป บางทีก็เกิดทุกขเวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีความรู้สึกว่ามีอาการง่วงๆ แล้วก็เกิดปวดต้นคอ หรือบางทีหายใจอึดอัดซึ่งนักปฏิบัติทั้งหลายจะต้องผ่านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น และเป็นชนวนให้เกิดความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ ในเมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ จิตก็เริ่มกำหนดรู้เรื่องของธรรมแล้วก็จะมองเห็นนิวรณ์ทั้ง 5 ได้ชัดเจน คือมองเห็นความใคร่ในความสุขสบาย ทำให้เกิดขี้เกียจขี้คร้านมองเห็นได้ชัด แล้วก็มองเห็นความหงุดหงิดรำคาญ อุทธัจจกุกกุจจะได้ชัดเจน และยิ่งเกิดความง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาแทรกด้วย เราก็มองเห็นได้ชัดเจน 

เราเกิดสงสัยว่าจะปฏิบัติต่อไปดีหรือจะหยุดเพียงแค่นี้ เราก็มองเห็นได้ชัดเจน ในเมื่อเราเกิดความสงสัยว่าจะปฏิบัติต่อไปหรือจะหยุดแค่นี้ พยาปาทะคือตัวคอยตัดรอนได้โอกาสก็วิ่งเข้าไปตัด พอตัดลงไปแล้ว เราก็จะนึกว่าเอาแค่นี้พอแล้ว เอาไว้วันหลังปฏิบัติต่อใหม่ ทีนี้ถ้าหากว่าจิตของเราเป็นอย่างนี้เรื่อยไป พอเกิดหงุดหงิดขึ้นมาแล้วก็บอกว่า เอาล่ะ แค่นี้ ฝากไว้วันหลังจึงปฏิบัติต่อใหม่ เราก็จะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จเพราะอันนี้มันเป็นนิวรณ์ที่คอยตัดรอนคุณงามความดี ถ้าจิตของเรามาตั้งสติพิจารณาคุณโทษแห่งนิวรณ์ 5 ดังที่กล่าวแล้วก็พยายามหาอุบายปลดเปลื้อง 

อุบายปลดเปลื้องนิวรณ์ 5 ก็คือเอาตัวนิวรณ์ 5 นั้นแหละเป็นเครื่องแก้ คือพิจารณาให้เห็นโทษของนิวรณ์เลย พิจารณาว่ากามฉันทะ ถ้าเราทำจิตให้ไปติดในความสุขความสบายจนเกินไปอย่างไม่มีเหตุผล ก็จะทำให้เราเสียกาลเสียเวลาเสียการปฏิบัติเพราะการปฏิบัตินี่ก็ย่อมลงทุนลงแรงบ้างพอสมควร ต้องอาศัยความอดทน 

ถ้าเราใช้ขันติ ความอดทนปฏิบัติไปสักพักหนึ่งนิวรณ์ 5 ทั้งหลายนั้นย่อมสงบระงับไปได้เพราะพลังของสมาธิ ถ้าหากกามฉันทะความใคร่ในความสุขเกิดขึ้น ให้กำหนดสติรู้ ถ้าพยาปาทะมันเกิดขึ้น ก็กำหนดสติรู้ ถ้าอุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญเกิดขึ้นก็กำหนดสติรู้ ถ้าถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้น กำหนดสติรู้ ความลังเลสงสัยเกิดขึ้น กำหนดสติรู้ โดยเอาสิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ของจิตเป็นที่ระลึกของสติ กำหนดจดจ้องพิจารณาอยู่อย่างนั้น ในเมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้น แล้วก็จะเกิดสมาธิความมั่นใจซึ่งอาศัยขันติความอดทนพิจารณาให้จิตของเรารู้แจ้งเห็นชัดในคุณในโทษของธรรมคือนิวรณ์ 

เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงรู้ชัดแล้ว จิตของเราก็จะปล่อยวางเข้าไปสู่ความสงบ แล้วเราก็จะได้สมาธิเพราะอาศัยธรรมะคือนิวรณ์เป็นที่ตั้งของสติ เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นที่ตั้งของสติเป็นเครื่องรู้ของจิต ธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก ถ้าเราตั้งใจจดจ่อพิจารณาเพ่งดูอยู่ จิตจะสงบเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นแผนการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน 4 กำหนดพิจารณากาย เวทนา จิตและธรรม เรากำหนดหมายเอาง่ายๆ คือพอนั่งสมาธิปั๊ปลงไปกำหนดรู้จิต กิริยาที่ตั้งใจกำหนดรู้จิตนั้น เราอาศัยประสาททางกายเป็นเครื่องช่วย 

ถ้าจิตไม่มีกายแล้ว ไม่มีความตั้งใจจะทำอะไร จะคิดอะไร เพราะจิตเป็นธาตุรู้อยู่เฉยๆ ถ้าลำพังแต่จิตดวงเดียวที่ถอดออกไปจากร่างอันนี้ เขาจะไปลอยเด่นใสสว่างไม่มีตัว ไม่มีตน คิดไม่เป็น อยู่เฉยๆ แต่ถ้ายังมีความสัมพันธ์กับกายนี้อยู่ คิดเป็นเพราะมีเครื่องมือ จิตเป็นแต่เพียงพลังงาน ร่างกายเป็นเครื่องมือ จิตเหมือนกระแสไฟฟ้า ในเมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้าไปสู่แม่เหล็กและทองแดงเกิดความหมุน พอหมุนแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดความเคลื่อนไหว ทำให้เกิดพลังต่างๆ ขึ้นมาได้ 

ดังนั้นในเมื่อกายมีอยู่ จิตย่อมมีความคิดเพราะกระแสของจิตไปกระทบกับร่างกายเครื่องมือของกาย เราคิดได้เพราะอาศัยประสาททางสมอง เพราะฉะนั้นในเมื่อเรากำหนดรู้ที่จิตของเรา เราย่อมรู้ว่าในกายของเรานี่ มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่ากายของเรามีศรีษะ 1 มีแขน 2 ขา 2 มีลำตัว มีตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ 

เมื่อเราตั้งใจกำหนดรู้อย่างนี้เรียกว่ากำหนดรู้กาย ทีนี้ในเมื่อเรากำหนดรู้กายอยู่ เพราะกายเป็นที่เกิดของสิ่งต่างๆ สุขเกิดที่กาย ทุกข์เกิดที่กาย แต่ว่าใจเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในกายนี้ กายเป็นที่เกิดของความเจ็บ แต่ความเจ็บอันนี้ จิตเป็นผู้รับรู้ ทีนี้ถ้าจิตไม่มีกายก็ไม่รู้จักเจ็บเพราะฉะนั้นเวทนาเกิดที่กาย สุขเวทนาก็เกิดที่กาย ทุกขเวทนาก็เกิดที่กาย หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดที่กาย เมื่อเรากำหนดรู้ว่ากายมีอยู่ เราจะรู้พร้อมทั้งเวทนา จิตและธรรม จิตก็คือตัวผู้รู้ ธรรมก็คือสิ่งที่กำหนดรู้อยู่ เรากำหนดรู้จิต กำหนดรู้อารมณ์ คือจิตกำหนดรู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน 

ในเมื่อจิตเสวยสุขซึ่งเกิดจากปีติ นิวรณ์ 5 กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะก็หายไป ทีนี้เมื่อสมาธิจิตสงบละเอียดลงไปจนกระทั่งตัวหายไปหมดแล้ว วิตก วิจาร ปีติสุขก็หายไปหมดเพราะสิ่งเหล่านี้อาศัยกายเกิด ถ้าไม่มีกาย วิตกวิจารปีติสุขก็ไม่มีได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกายหายไปแล้วยังเหลือแต่จิตดวงเดียว จึงได้ชื่อว่ามีแต่จิตดวงเดียวซึ่งเรียกว่าเอกัคคตากับอุเบกขา ความเป็นกลางของจิต ร่างกายตนตัวหายไปหมด 

เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญสมาธิซึ่งเดินตามหลักของมหาสติปัฏฐาน 4 จึงเป็นอุบายทำจิตให้สงบตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ เพื่อขจัดนิวรณ์ธรรม 5 ประการ ให้หมดไปจากจิตในขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะได้ดำเนินไปสู่ภูมิจิตภูมิธรรมตามลำดับขั้นตอน ซึ่งสุดแล้วแต่พลังจิตพลังสมาธิของท่านผู้ใด จะปฏิวัติจิตของตนเองให้เป็นไปได้ 

เพราะฉะนั้นการฝึกฝนอบรมสมาธินี้ เราอาศัยหลัก ภาวิตา อบรมให้มากๆ พหุลีกะตา ทำให้มากๆ ทำให้คล่องตัว ทำจนชำนิชำนาญ ทำจนกระทั่งถึงขั้นเป็นเอง ในเมื่อจิตได้ดำเนินตามหลักของมหาสติปัฏฐานทั้ง 4 ประการ จึงเป็นฐานที่ให้เกิดธรรมะอันเป็นองคคุณแห่งการตรัสรู้คือสติสัมโพชฌงค์ 

ในเมื่อเรามาทำสมาธิจิตรวมเป็นหนึ่งเป็นเอกมรรค เอกธรรม สติเป็นเองโดยอัตโนมัติสามารถที่จะกำหนดรู้กายจิต สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมได้เองโดยตลอดเวลา ก็เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ที่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ได้ชื่อว่าจิตได้สติสัมโพชฌงค์เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เวลาแห่งการบรรยายธรรมะตามหลักแห่งมหาสติปัฏฐาน 4 ก็จบลงด้วยเวลาเพียงเท่านี้